
แนวคิดที่ 1
สันนิษฐานว่า ดนตรี ไทยได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เนื่องจากอินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดนี้ คือ ลักษณะของเครื่องดนตรีไทยได้จำแนกได้ใกล้เคียงกับลักษณะเครื่องดนตรีของ อินเดียตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ “สังคีตรัตนากร” บุคคลสำคัญที่เป็นผู้เสนอแนวทางนี้ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
แนวคิดที่ 2
สันนิษฐานว่า ดนตรี ไทยเกิดมาจากความคิดและสติปัญญาของคนไทยที่มีพร้อมกับคนไทยตั้งแต่สมัยที่ ยังอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแล้ว สังเกตจากการที่เครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะมีชื่อเรียกเป็นคำโดด ซึ่งเป็นลักษณะของคำไทยแท้ เช่นฉิ่ง ฉาบ ปี่ เป็นต้น ต่อมาภายหลังจึงได้รับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบอินเดีย มอญ เขมร และรับดนตรีบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาใช้เล่นในวงดนตรีไทยด้วย เช่น
- กลองแขก ปี่ชวา ของชวา (อินโดนีเซีย)
- เปิงมาง ปี่มอญ ตะโพนมอญและฆ้องมอญ
ของมอญ
- กลองยาว ของพม่า
นับ ตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีนและได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงถือเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทย จากหลักฐานต่างๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้ถูกนำมาใช้อ้างอิงในเรื่องวิวัฒนาการของดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
สมัยสุโขทัย
ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง สันนิษฐานว่า วงดนตรีสมัยสุโขทัย น่าจะมีดังนี้
1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย
2. วงขับไม้ มีผู้บรรเลง 3 คน
3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่องห้า มี 2 ชนิดคือ วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา
ใช้บรรเลงประกอบละครชาตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรี คือ ปี่ กลองชาตรี ทับ(โทน) ฆ้องคู่ ฉิ่ง
วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีหรือการแสดงมหรสพต่างๆ ประกอบ
ด้วยเครื่องดนตรี คือ ปี่ใน ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง
4. วงมโหรี เป็นการนำวงบรรเลงพิณผสมกับวงขับไม้ มีผู้บรรเลง 4 คน
สมัยกรุงศรีอยุธยา
วงดนตรีไทยในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมากกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้
1. วงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์เครื่องห้ามีระนาดเอกเพิ่มขึ้นมา
2. วงมโหรี พัฒนาจากมโหรีเครื่องสี่เป็นวงมโหรีเครื่องหก โดยเพิ่มเครื่องดนตรี 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย
และรำมะนา

สมัยกรุงธนบุรี
วงดนตรีในสมัยนี้ไม่ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยนี้ศิลปวัฒนธรรมได้รับการฟื้นฟูและส่งเสริมขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงดนตรีให้เจริญขึ้นตามลำดับ ดังนี้
• สมัยรัชกาลที่ 1 มีลักษณะและรูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่มีการพัฒนาบ้าง
คือ เพิ่มกลองทัด 1 ลูก ในวงปี่พาทย์
• สมัยรัชกาลที่ 2 ถือว่าเป็นยุคทองของดนตรีไทยยุดหนึ่ง การพัฒนาเปลี่ยนแปลงดนตรีไทย
ในยุดนี้ คือ การนำเอาวงปี่พาทย์มาบรรเลงประกอบการขับเสภาเป็นครั้งแรก และมี “กลองสอง
หน้า” เกิดขึ้น ใช้ตีกำกับจังหวะแทนตะโพนในวงปี่พาทย์
• สมัยรัชกาลที่ 3 มีการพัฒนาวงปี่พาทย์ให้เป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มมาคู่
กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กคู่กับฆ้องวงใหญ่
• สมัยรัชกาลที่ 4 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ โดยมีการประดิษฐ์
เครื่องดนตรี คือ ระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก ในสมัยนี้มีการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ
เรียกว่า “การร้องส่ง” เกิดขึ้น มีเพลงเถาและมีวงเครื่องสายเกิดขึ้น
• สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ เรียกว่า “วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” โดยเจ้าฟ้ากรม
พระยานริศรานุวัติวงศ์ ใช้บรรเลงประกอบการแสดง”ละครดึกดำบรรพ์”
• สมัยรัชกาลที่ 6 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับวงปี่พาทย์
ของไทย เรียกว่า “วงปี่พาทย์มอญ” โดยหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นอกจากนี้ยังมี
การนำเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมด้วย
• สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรีไทย และ
ได้พระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น